วันนี่ได้ข้อคิดจากการอ่าน ดังนี้
หลักการสอนอ่านและเขียน
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พื้นฐานที่สำคัญของการ
สอนให้ผู้เรียนรู้หนังสือ คือ สอนให้รู้จักตัวอักษร
คำว่าสอนให้รู้จักในที่นี้ คือ สอนให้รู้จัก “เสียง”
เพราะอักษรคือสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายแทนเสียงในภาษา
อักษรแต่ละตัวย่อมแทนเสียงอย่างหนึ่ง ในภาษาไทยมีอักษรอยู่สามกลุ่ม
กลุ่มแรกคือสระ เขียนแทนเสียงแท้ กลุ่มที่สองคือพยัญชนะ ใช้แทนเสียงแปร
และกลุ่มสุดท้ายคือวรรณยุกต์ ซึ่งใช้แทนเสียงดนตรี
เมื่อครูสอนผู้เรียนอ่านหนังสือ จึงต้องเริ่มสอนอักษรเหล่านี้เป็นพื้นก่อน
เพื่อที่เวลานำอักษรเหล่านี้มาประสมกันในลักษณะต่าง ๆ แล้ว
ก็จะสามารถอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง
ผู้เรียนที่อ่านออกเสียงคำต่าง ๆ
ได้ ถือว่าเริ่มมีความสามารถในการอ่านระดับพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้การสอนอ่านในระดับเบื้องต้น
ก็คือการสอนให้อ่านออกเสียงอักษรได้นั่นเอง กล่าวคือ
ผู้เรียนทราบว่าคำนี้มีอักษรอะไรประสมอยู่บ้าง และตามหลักแล้ว
อักษรเหล่านี้ เมื่อประสมกันแล้วควรจะออกเสียงอย่างไร อย่างไรก็ตาม
การจัดการศึกษาที่ส่งเสริมการรู้หนังสือ
จะต้องคำนึงถึงการสอนอ่านที่นอกเหนือไปจากเรื่องเสียงด้วย
เพราะข้อความที่ประกอบจากคำต่าง ๆ ย่อมมีความหมายเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้น
การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย หรือการอ่านที่ทราบว่า
สิ่งที่อ่านมีความหมายว่าอย่างไร จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่ง
การอ่านในระดับนี้จึงถือว่าสูงกว่าการอ่านได้ดังที่ได้กล่าวถึงในตอนต้น
นักวิชาการด้านการอ่านมีแนวคิดว่า การสอนอ่านแบ่งได้เป็นสองมิติหลัก ๆ
คือ การสอนอ่านเพื่อออกเสียง และการสอนอ่านเพื่อความหมาย
สำหรับมิติแรก
เป็นมีพื้นฐานจากความสัมพันธ์ระหว่างอักษรและเสียงที่อักษรนั้นแทน
(letter-sound) หลักของการสอนอ่านตามแนวคิดนี้ก็คือ
การให้ผู้เรียนจดจำเสียงและจดจำรูปอักษร ที่มีอยู่จำนวนหนึ่ง
และทดลองประสมอักษรให้กลายเป็นพยางค์หรือคำ แล้วฝึกหัดอ่าน
วิธีการนี้เป็นวิธีพื้นฐานสำหรับฝึกหัดผู้เรียนให้คุ้นเคยกับเสียงในภาษา
และถือว่าเป็นวิธีพื้นฐานที่นิยมนำมาใช้ในการสอนอ่านระดับประถมศึกษา
สำหรับอีกมิติหนึ่ง คือ
การสอนอ่านเพื่อความหมาย
เป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจและนิยมนำมากำหนดเป็นเป้าหมายของการสอนอ่าน
แนวคิดนี้มองว่า การอ่านคือการตีความ (interpret)
สารหรือความหมายบางประการในสิ่งที่อ่าน
เรื่องความหมายจึงถือว่ามีบทบาทมากในการทำให้ผู้เรียนเข้าใจสิ่งที่อ่าน
สำหรับเรื่องความหมายนี้ เป็นธรรมดาว่า
ผู้เรียนแต่ละคนมิได้มีหรือทราบความหมายของคำติดตัวมาแล้ว แต่เดิม
แต่ใช้การเชื่อมโยงมโนทัศน์
หรือความคิดจากประสบการณ์เดิมของตนที่เกี่ยวข้อง
มาประมวลรวมกันเพื่อกำหนดความหมายของสิ่งที่อ่าน
หลักการสอนอ่านตามแนวคิดนี้ก็คือ ในทุกขั้นตอนของการสอนอ่าน
ผู้เรียนควรที่จะได้เชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของตนกับสิ่งที่อ่านอยู่ตลอด
เวลา โดยในการเชื่อมโยงนั้น อาจใช้เทคนิคการตั้งคำถาม การทำนาย การสรุป
การตีความ หรือการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เรียนคนอื่น ๆ
ที่อ่านเรื่องเดียวกันก็ได้ ประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้น
จะช่วยให้ผู้เรียนทำความเข้าใจเรื่องที่อ่านได้มากขึ้นตามไปด้วย
การสอนอ่านตามแนวคิดนี้
มักปรากฏเห็นได้ชัดในการจัดการเรียนการสอนอ่านระดับมัธยมศึกษา
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผู้เรียนมีวุฒิภาวะและประสบการณ์มากพอในระดับหนึ่ง
ที่จะพิจารณาความหมายต่าง ๆ ที่ซ่อนแฝงไว้ในข้อความหรือหนังสือลักษณะต่าง ๆ
ได้
ขอบเขตของการพัฒนาการรู้หนังสือ
มิได้จำกัดไว้แต่เฉพาะการอ่านแต่เพียงอย่างเดียว
แต่หมายรวมถึงการเขียนด้วย
เพราะการอ่านและการเขียนเป็นทักษะการคิดที่ส่งเสริมกันและกัน
การพัฒนาการเขียนสามารถกระทำได้โดยการเพิ่มพูนความรู้ที่จะต้องใช้ในการ
เขียน ซึ่งการเพิ่มพูนก็สามารถกระทำได้จากการอ่าน
เพื่อให้ตนเองมีข้อมูลมากเพียงพอ ในขณะที่การเขียนเอง
ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการอ่านได้เช่นเดียวกัน กล่าวคือ
ผู้เรียนสามารถสรุป เชื่อมโยงความสัมพันธ์ ทำนาย วิเคราะห์
หรือสังเคราะห์ความคิดที่ได้จากการอ่านด้วยการเขียนออกมาเป็นข้อความ
หรือสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่สื่อความได้ ด้วยเหตุนี้
หลักการของการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการรู้หนังสือประการแรกคือ
การพัฒนาการอ่านและการเขียนควรที่จะดำเนินควบคู่กันไป
การสอนเขียนมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการสร้างความคิด
แล้วแปลงความคิดนั้นให้เป็นสัญลักษณ์หรือภาษาเขียน
การสอนเขียนจึงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการพัฒนาสองประการ คือ
การส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือ
การแปลงความคิดให้เป็นคำ ประโยคหรือข้อความที่ถูกต้อง
และสามารถสื่อความคิดได้ตรง (validity) ที่สุด ครูผู้สอนโดยส่วนใหญ่
มักไม่คำนึงถึงกิจกรรมขั้นแรก ทำให้มิได้ตรวจสอบว่า
เมื่อฝึกหัดให้ผู้เรียนเขียนงานในหัวข้อหรือรูปแบบต่าง ๆ นั้น
ผู้เรียนมีความรู้หรือความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเขียนเพียงพอหรือไม่
เมื่อจุดเริ่มต้นคือการสร้างความคิดประสบปัญหา
ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นข้อความต่าง ๆ ได้
กิจกรรมการทบทวนและส่งเสริมให้สร้างความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเขียนด้วย
วิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะการอ่านและสนทนากับผู้อื่น
จึงมักเป็นกิจกรรมขั้นแรกของการสอนเขียน สำหรับในเรื่องการแปลงความคิดนั้น
เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้คำ
และความคล่องแคล่วของกล้ามเนื้อมือ
ซึ่งจะใช้เขียนหรือพิมพ์ เป็นต้น การฝึกเขียนประโยค เขียนย่อหน้า
อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถใช้ถ่ายทอดความคิดได้รวดเร็ว
จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาการเขียน
การรู้หนังสือ (literacy)
มิได้เป็นการพัฒนาที่มุ่งส่งเสริมการอ่านเท่านั้น
แต่ยังต้องนำมาสัมพันธ์กับการเขียนด้วย เพราะทั้งสองทักษะคือทักษะการคิด
ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน พื้นฐานสำคัญของการสอนทั้ง
การอ่านและการเขียนคือ การเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม
การสร้างความคิดจากการอ่านและเขียน
และการฝึกหัดกระทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วชำนาญ เหล่านี้
ถือว่าเป็นหลักการที่ครูภาษาไทยรวมถึงทุกวิชา
สามารถนำไปเป็นพื้นฐานในการพัฒนาผู้เรียนได้
ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ แล้ว
ยังถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการคิด อันเป็นทักษะแกนของทุกวิชาอีกด้วย