วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การใช้สำนวนโวหาร
วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง การใช้สำนวนโวหาร ซึ่งมีขั้นตอนในการเตรียมตัวเขียน นอกจากจะต้องเตรียมข้อมูลจัดทำโครงเรื่องแล้ว ควรเลือกใช้สำนวนโวหารให้เหมาะกับเนื้อความที่ จะเขียน สำนวนโวหารในภาษาไทย แบ่งออกเป็น 5 โวหาร ดังนี้
1) บรรยายโวหาร
2) พรรณนาโวหาร
3) เทศนาโวหาร
4) สาธกโวหาร
5) อุปมาโวหาร
1. บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์ การเขียนบรรยายโวหาร จะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำคัญไม่จำเป็นต้องมีพลความ หรือความปลีกย่อยเสริม ในการเขียนทั่ว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากสำนวนประเภทนี้มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจนงานเขียนที่ควรใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนอธิบายประเภทต่าง ๆเช่น เขียนรายงานวิทยานิพนธ์ ตำรา บทความ การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง เช่น บันทึก จดหมายเหตุ การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นประเภทบทความเชิงวิจารณ์ ข่าว เป็นต้น
หลักการเขียนบรรยายโวหาร
1) เรื่องที่เขียนต้องเป็นเรื่องจริง ผู้เขียนควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียนเป็นอย่างดี โดยอาจรู้มาจากประสบการณ์ หรือการค้นคว้าก็ได้
2) เลือกเขียนเฉพาะสาระสำคัญ ไม่เน้นรายละเอียด แต่เขียนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
3) ใช้ภาษาให้เข้าใจง่าย หากต้องการจะกล่าวให้ชัดอาจใช้อุปมาโวหารและสาธกโวหารเข้าช่วยได้บ้าง แต่ต้องไม่มากจนส่วน ที่เป็นสาระสำคัญกลายเป็นส่วนด้อยไป
4) เรียบเรียงความคิดให้ต่อเนื่อง และสัมพันธ์กัน
2. พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือมุ่งให้ความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นการเขียนพรรณาโวหารจึงยาวกว่าบรรยายโวหารมาก แต่มิใช่การเขียนอย่างเยิ่นเย้อ เพราะพรรณนา-โวหารต้องมุ่งให้ภาพ และอารมณ์ ดังนั้น จึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์ แม้เนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่เต็มด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ อ่านได้รสชาติ
หลักการเขียนพรรณนาโวหาร
1) ต้องใช้คำดี หมายถึง การเลือกสรรถ้อยคำ เพื่อให้สื่อความหมาย สื่อภาพ สื่ออารมณ์เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่ต้องการบรรยาย ควรเลือกคำ ที่ให้ความหมายชัดเจน ทั้งอาจต้องเลือกให้เสียงคำสัมผัสกันเพื่อเกิดเสียงเสนาะอย่างสัมผัสสระ สัมผัสอักษร ในงานร้อยกรอง
2) ต้องมีใจความดี แม้จะพรรณนายืดยาว แต่ใจความต้องมุ่งให้เกิดภาพ และอารมณ์ความรู้สึกสอดคล้องกับเนื้อหาที่กำลังพรรณนา
3) อาจต้องใช้อุปมาโวหาร คือ การเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ภาพชัดเจน และมักใช้ศิลปะการใช้คำที่เรียกว่า ภาพพจน์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นวิธีการที่จะทำให้พรรณนาโวหารเด่น ทั้งการใช้คำ และการใช้ภาพที่แจ่มแจ้ง อ่านแล้วเกิดจินตนาการและความรู้สึกคล้อยตาม
4) ในบางกรณีอาจต้องใช้สาธกโวหารประกอบด้วย คือ การยกตัวอย่างเพื่อให้เกิดความแจ่มแจ้ง โดยยกตัวอย่างสิ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน เพื่อให้เกิดภาพและอารมณ์เด่นชัดพรรณนาโวหารมักใช้กับการชมความงามอื่น ๆ เช่น ชมสถานที่ สรรเสริญบุคคล หรือใช้พรรณนาอารมณ์ ความรู้สึก เช่น รัก เกลียด โกธร แค้น เศร้าสลด เป็นต้น
3. เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามหรืออาจกล่าวได้ว่ามุ่งชักจูงให้ผู้อ่าน คิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียนเทศนาโวหาร จึงยากกว่าโวหารที่กล่าวมาแล้วทั้ง 2 โวหาร เพราะต้องใช้กลวิธีในการชักจูงใจ
หลักการเขียนเทศนาโวหาร
การเขียนเทศนาโวหารต้องใช้โวหารประเภทต่าง ๆ มาประกอบ กล่าวคือทั้งใช้บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร รวมทั้งอุปมาโวหาร และ สาธกโวหารด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ใจความชัดเจนแจ่มแจ้ง มีทั้งความหลักและความรองเป็นที่เข้าใจจนเกิดความรู้สึกนึกคิดคล้อยตามผู้เขียน ไปได้หากเป็นการแสดงความคิดเห็นควรอธิบายทั้งด้านที่เป็นประโยชน์และโทษ หรือแสดงเหตุและผลการเขียนเทศนาโวหาร ผู้เขียนต้อง มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเป็นอย่างดี สามารถอธิบายอย่างชัดเจน ทั้งควรพรรณนาให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต้องรู้จักใช้เหตุผล และหลักฐานสนับสนุนความคิดเห็นที่ตนเสนอด้วย การลำดับความให้สัมพันธ์กันอย่างมีเหตุผลจึงเป็นหลักสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการเขียนเทศนาโวหารโดยทั่วไปมักเข้าใจกันว่า เทศนาโวหาร แปลว่า โวหารที่มุ่งสั่งสอน โดยตีความคำว่าเทศนา ว่าสั่งสอน ความจริงเทศนาในที่นี้ หมายถึง แสดง กล่าวคือ แสดงอย่างแจ่มแจ้งเพื่อให้เห็นคล้อยตาม รูปแบบงานเขียนที่ควรใช้เทศนาโวหารคือ งานเขียนประเภทบทความชักจูงใจ หรือบทความแสดงความคิดเห็น ความเรียง เป็นต้น
4.สาธกโวหาร คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้งหรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหารเช่นการเลือกยกตัวอย่างมีหลักที่ควรเลือกให้เข้ากับเนื้อความ อาจยกตัวอย่างสั้น ๆ ในบรรยายโวหารหรืออาจยกตัวอย่างที่มีรายละเอียดประกอบในพรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เป็นต้น ในการเขียนข้อเขียนต่าง ๆ นิสิตควรรู้จักเลือกใช้โวหารให้เหมาะกับจุดมุ่งหมายในการเขียนและเนื้อหาในบางโอกาส อาจต้องใช้โวหารหลายชนิดในงานเขียนชิ้นหนึ่งก็ได้ หลักสำคัญอยู่ที่ว่าต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโอกาส จุดมุ่งหมายและเขียนได้อย่างถูกต้อง ตามลักษณะโวหารนั้น ๆ
5.อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยกตัวอย่าง สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าอุปมาโวหาร คือ ภาพพจน์ประเภทอุปมานั่นเอง อุปมาโวหารใช้เป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อให้ชัดเจนน่าอ่าน โดยอาจเปรียบเทียบอย่างสั้น ๆ หรือเปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปมา โวหารนั้นจะนำไปเสริมโวหารประเภทใด
วิธีสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (Co – operative Leanning)
วันนี้ขอนำเสนอวิธีสอนแบบ Co – operative Leanning ซึ่งได้ใช้สอนและนักเรียนก็สนใจดี
วิธีสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (Co – operative Leanning)มีความหมาย เป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ผู้เรียนทำงานร่วมกันและช่วยเหลือ กันในชั้นเรียน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียน และยังเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกัน สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เรียนทุกคน นอกจากนี้ยังเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอีกด้วย เพราะใน ชั้นเรียนมีความร่วมมือ ผู้เรียนจะได้ฟัง เขียน อ่าน ทวนความ อธิบาย และปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียน จะเรียนด้วยการลงมือกระทำ ผู้เรียนที่มีจุดบกพร่องจะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม
ความมุ่งหมายของการสอน ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบ ร่วมกัน คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม โดยยังคงรักษา สัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่ม ในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้ สำเร็จเท่านั้น
ขั้นตอนการสอนมี 5 ชั้น ดังนี้
1. แนะนำ ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคน ต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญใน หัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ดัวย ทุกคนจะได้รับเกรดรายบุคคล และเป็นกลุ่ม
2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้าย นิเทศ ผู้สอนแจ้งกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม
ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม
ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้ เสร็จสมบูรณ์
ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ก่อนที่จะถามผู้สอน
3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วย เนื้อหา ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษา เรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็เตรียมตัววางแผนกการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกใน กลุ่มเดิมของตน
4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามา ตรวจสอบความเข้าใจ และช่วยเพื่อนสมาชิกในการเรียน
5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอน เพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และคิดคะแนนกลุ่ม
ที่มา: http://boogif222.blogspot.com/
ความมุ่งหมายของการสอน ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบ ร่วมกัน คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม โดยยังคงรักษา สัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่ม ในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้ สำเร็จเท่านั้น
ขั้นตอนการสอนมี 5 ชั้น ดังนี้
1. แนะนำ ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคน ต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญใน หัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ดัวย ทุกคนจะได้รับเกรดรายบุคคล และเป็นกลุ่ม
2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้าย นิเทศ ผู้สอนแจ้งกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม
ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม
ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้ เสร็จสมบูรณ์
ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ก่อนที่จะถามผู้สอน
3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วย เนื้อหา ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษา เรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็เตรียมตัววางแผนกการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกใน กลุ่มเดิมของตน
4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามา ตรวจสอบความเข้าใจ และช่วยเพื่อนสมาชิกในการเรียน
5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอน เพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และคิดคะแนนกลุ่ม
ที่มา: http://boogif222.blogspot.com/
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การบริหารจิต
วิธีการบริหารจิต
กล่าวเฉพาะการตั้งสติกำหนดพิจารณากายในอิริยาบถนั่ง โดยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ที่เรียกว่า อานาปานสติ
ขั้นเตรียม
1.เลือกสถานที่ที่เหมาะสม เช่น สถานที่ปลอดโปร่งไม่มีเสียงรบกวน
2.เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น ตอนเช้า ก่อนนอน เวลาที่ใช้ไม่ควรนานเกินไป
3.สมาทานศีล เป็นการแสดงเจตนาเพื่อทำใจให้บริสุทธิ์สะอาด
4.นมัสการพระรัตนตรัยและสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
5.ตัดความกังวลต่างๆ ออกไป
ขั้นตอนปฏิบัติ
1.นั่งท่าสมาธิ คือ นั่งขัดตะหมาด เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งตัวตรง ดำรงสติมั่น
2.หลับตาหรือลืมตาก็ได้ อย่างไหนได้ผลดีก็ปฏิบัติอย่างนั้น
3.กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจกระทบตรงไหนก็รู้ชัดเจนให้กำหนดตรงจุดนั้น
4.เมื่อลมหายใจ-ออก จะกำหนดภาวนาด้วยหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่บุคคลที่ปฏิบัติ
5.ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนได้เวลาพอควรแก่ร่างกาย จึงออกจากการปฏิบัติ
6.แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
การปฏิบัติระยะแรกๆ จิตอาจฟุ้งซ่าน สงบได้ยาก หรือไม่นาน ต้องใช้ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกปฏิบัติบ่อยๆ จิตจึงจะค่อยสงบตามลำดับ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ จิตใจสงบ เยือกเย็น แจ่มใส เบิกบาน มั่งคง เข้มแข็ง มีพลัง มีความจำดีขึ้น และที่สำคัญ คือ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
ที่มา: http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/BUDDA/Ba-ri-Jit.htm
กล่าวเฉพาะการตั้งสติกำหนดพิจารณากายในอิริยาบถนั่ง โดยการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ที่เรียกว่า อานาปานสติ
ขั้นเตรียม
1.เลือกสถานที่ที่เหมาะสม เช่น สถานที่ปลอดโปร่งไม่มีเสียงรบกวน
2.เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น ตอนเช้า ก่อนนอน เวลาที่ใช้ไม่ควรนานเกินไป
3.สมาทานศีล เป็นการแสดงเจตนาเพื่อทำใจให้บริสุทธิ์สะอาด
4.นมัสการพระรัตนตรัยและสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
5.ตัดความกังวลต่างๆ ออกไป
ขั้นตอนปฏิบัติ
1.นั่งท่าสมาธิ คือ นั่งขัดตะหมาด เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งตัวตรง ดำรงสติมั่น
2.หลับตาหรือลืมตาก็ได้ อย่างไหนได้ผลดีก็ปฏิบัติอย่างนั้น
3.กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจกระทบตรงไหนก็รู้ชัดเจนให้กำหนดตรงจุดนั้น
4.เมื่อลมหายใจ-ออก จะกำหนดภาวนาด้วยหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่บุคคลที่ปฏิบัติ
5.ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนได้เวลาพอควรแก่ร่างกาย จึงออกจากการปฏิบัติ
6.แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
การปฏิบัติระยะแรกๆ จิตอาจฟุ้งซ่าน สงบได้ยาก หรือไม่นาน ต้องใช้ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกปฏิบัติบ่อยๆ จิตจึงจะค่อยสงบตามลำดับ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ จิตใจสงบ เยือกเย็น แจ่มใส เบิกบาน มั่งคง เข้มแข็ง มีพลัง มีความจำดีขึ้น และที่สำคัญ คือ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
ที่มา: http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/BUDDA/Ba-ri-Jit.htm
บทดอกสร้อย
บทดอกสร้อย
บทดอกสร้อย หรือกลอนดอกสร้อยเป็นกลอนสมัยใหม่ แต่งขึ้นเพื่อใช้ขับร้องเช่นเดียวกับกลอนสักวา ต่อมานิยมแต่งเพื่อใช้เป็นบทกลอนสอนใจสำหรับเด็ก ๆ เพื่อให้จดจำได้ง่าย และบางครั้งอาจแต่งเพื่อใช้ในเรื่องอื่น ๆกลอนดอกสร้อย 1 บท มี 4 บาท(8 วรรค) ในวรรคแรกบังคับให้คำที่ 2 ใช้คำว่า “เอ๋ย” ส่วนคำที่ 1 ให้ซ้ำกับคำที่ 3 เช่น แมวเอ๋ยแมวเหมียว ดอกเอ๋ยดอกไม้ ในเรื่องคำสัมผัสกำหนดให้มีสัมผัสบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ และจบบทด้วยคำว่า “เอย”ในคำสุดท้ายของวรรคที่แปด
ข้อเตือนใจจากบทดอกสร้อย
ใช้เป็นบทอาขยานสำหรับชั้นประถม สอนให้รู้จักพฤติกรรมตามธรรมชาติของสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งคนและสัตว์ แล้วนำมาสู่คติสอนใจ พฤติกรรมตามธรรมชาติเหล่านั้น และเมื่อแต่งเรื่องออกมาในรูปของกวีนิพนธ์ทำให้ได้ทั้งอรรถรสทางภาษา ทั้งด้านคำและความหมาย ทำให้เรียนรู้ได้ง่าย จดจำไว้ได้นานตลอดไปโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก นอกจากนั้นยังนำมาใช้เป็นบทขับร้องในวิชาขับร้องอีกด้วย บทดอกสร้อยที่ได้เลือกสรรค์ และประมวลมาเป็นบทเรียนมีอยู่ดังนี้
ใช้เป็นบทอาขยานสำหรับชั้นประถม สอนให้รู้จักพฤติกรรมตามธรรมชาติของสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งคนและสัตว์ แล้วนำมาสู่คติสอนใจ พฤติกรรมตามธรรมชาติเหล่านั้น และเมื่อแต่งเรื่องออกมาในรูปของกวีนิพนธ์ทำให้ได้ทั้งอรรถรสทางภาษา ทั้งด้านคำและความหมาย ทำให้เรียนรู้ได้ง่าย จดจำไว้ได้นานตลอดไปโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก นอกจากนั้นยังนำมาใช้เป็นบทขับร้องในวิชาขับร้องอีกด้วย บทดอกสร้อยที่ได้เลือกสรรค์ และประมวลมาเป็นบทเรียนมีอยู่ดังนี้
เด็กน้อย
ค เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
|
ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา
|
เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา
|
เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน
|
ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน
|
จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
|
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน
|
เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย ฯ
|
ร้องลำฝรั่งรำเท้า
|
แมวเหมียว
ค แมวเอ๋ยแมวเหมียว
|
รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา
|
ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา
|
เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
|
รู้จักเอารักเข้าต่อตั้ง
|
ค่ำค่ำซ้ำนั่งระวังหนู
|
ควรนับว่ามันกตัญญู
|
พอดูอย่างไว้ใส่ใจเอย ฯ
|
นาย
|
ตั้งไข่
ค ตั้งเอ๋ยตั้งไข่
|
จะตั้งใยไข่กลมก็ล้มสิ้น
|
ถึงว่าไข่ล้มจะต้มกิน
|
ถ้าตกดินเสียก็อดหมดฝีมือ
|
ตั้งใจเรานี้จะดีกว่า
|
อุตส่าห์อ่านเขียนเรียนหนังสือ
|
ทั้งวิชาสารพัดเพียรหัดปรือ
|
อย่าดึงดื้อตั้งไข่ร่ำไรเอย ฯ
|
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์
ร้องรำลมพัดชายเขา |
ซักส้าว
ค ซักเอ๋ยซักส้าว
|
ผลมะนาวทิ้งทานในงานศพ
|
เข้าแย่งชิงเหมือนสิ่งไม่เคยพบ
|
ไม่น่าคบเลยหนอพวกขอทาน
|
ดูประหนึ่งขัดสนจนปัญญา
|
มีทางหากินได้หลายสถาน
|
ประหลาดใจเหตุไฉนไม่ทำงาน
|
ประกอบการอาชีพที่ดีเอย ฯ
|
ร้องรำสารถีชักรถ
|
ตุ๊ดตู่
ค ตุ๊ดเอ๋ยตุ๊ดตู่
|
ในเรี่ยวในรูช่างอยู่ได้
|
ขี้เกียจนักหนาระอาใจ
|
มาเรียกให้กินหมากไม่อยากคบ
|
ชาติขี้เกียจเบียดเบียนแต่เพื่อบ้าน
|
การงานแต่สักนิดก็คิดหลบ
|
ตื่นเช้าเราควรหมั่นประชันพลบ
|
ไม่ขอคบขี้เกียจเกลียดนักเอย ฯ
|
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ ร้องลำวิลันตาโอด
|
นกกิ้งโครง
ค นกเอ๋ยนกกิ้งโครง
|
หลงเข้าโพรงนกเอี้ยงเถียงเจ้าของ
|
อ้อยอี๋เอียงอ้อยอี๋เอียงส่งเสียร้อง
|
เจ้าของเขาว่าหน้าไม่อาย
|
แต่นกยังรู้ผิดรัง
|
นักปราชญ์รู้พลั้งไม่แม่นหมาย
|
แต่ผิดรับผิดพอผ่อนร้าย
|
ภายหลังจงระวังอย่าพลั้งเอย ฯ
|
พระยาพินิจสารา (ทิม) แต่ง ร้องลำนกกระจอกทอง
|
เรือเล่น
ค เรือเอ๋ยเรือเล่น
|
สามเส้นเศษวาไม่น่าล่ม
|
ฝีพายลงเต็มลำจ้ำตะบม
|
ไปขวางน้ำคล่ำจมลงกลางวน
|
ทำขวาง ๆ รีรีไม่ดีหนอ
|
เที่ยวขัดคอขัดใจไม่เป็นผล
|
จะก่อเรื่องเคืองข้องหมองกมล
|
เกิดร้อนรนร้าวฉานรำคาญเอย ฯ
|
นาย
|
นกเอี้ยง
ค นกเอ๋ยนกเอี้ยง
|
คนเข้าใจว่าเจ้าเลี้ยงซึ่งควายเฒ่า
|
แต่นกเอี้ยงนั้นเลี่ยงทำงานเบา
|
แม้อาหารก็ไปเอาบนหลังควาย
|
เปรียบเหมือนคนทำตนเป็นกาฝาก
|
รู้มากเอาเปรียบคนทั้งหลาย
|
หนีงานหนักคอยสมัครงานสบาย
|
จึงน่าอายเพราะเอาเยี่ยงนกเอี้ยงเอย ฯ
|
ร้องลำแขกไซ
|
ไก่แจ้
ค ไก่เอ๋ยไก่แจ้
|
ถึงยามขันขันแซ่กระชั้นเสียง
|
โก่งคอเรื่อยร้องซ้องสำเนียง
|
ฟังเพียงบรรเลงวังเวงดัง
|
ถ้าตัวเราเหล่านี้หมั่นนึก
|
ถึงคุณครูผู้ฝึกสอนสั่ง
|
ไม่มากนักสักวันละสองครั้ง
|
คงตั้งแต่สุขทุกวันเอย ฯ
|
หม่อมเจ้าประภากร ทรงแต่ง ร้องลำนางนาค
|
จ้ำจี้
ค จ้ำเอ๋ยจ้ำจี้
|
เพ้อเจ้อเต็มทีไม่มีผล
|
ดอกเข็มดอกมะเขือเจือระคน
|
สับสนเรื่องราวยาวสุดใจ
|
เขาจ้ำแจวจ้ำพายเที่ยวขายของ
|
เร่ร้องตามลำแม่น้ำไหล
|
ชอบรีบแจวรีบจ้ำหากำไร
|
จ้ำทำไมจ้ำจี้ไม่ดีเอย ฯ
|
นาย
|
กาดำ
ค กาเอ๋ยกาดำ
|
รู้จำรู้จักรักเพื่อน
|
ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่แชเชือน
|
รีบเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา
|
ต่างกลุ้มรุมล้อมพร้อมพรัก
|
น่ารักน้ำใจกระไรหนา
|
การเผื่อแผ่แน่ะพ่อหนูจงดูกา
|
มันโอบอารีรักดีนักเอย ฯ
|
นาย
|
แมงมุม
ค แมงเอ๋ยแมงมุม
|
ขยุ้มหลังคาที่อาศัย
|
สั่งสอนลูกรักให้ชักใย
|
ลูกไกลไม่ทำต้องจำตี
|
ได้ความเจ็บแค้นแสนสาหัส
|
เพราะขืนขัดถ้อยคำแล้วซ้ำหนี
|
เด็กเอ๋ยเจ้าอย่าเป็นดังเช่นนี้
|
สิ่งไม่ดีครูว่าอย่าทำเอย ฯ
|
หลวงประชุมบรรณสาร (พิณ) แต่ง ร้องลำบทร้องไห้
|
กะเกย
ค กะเอ๋ยกะเกย
|
อย่าละเลยกุ้งไม้ไว้จนเหม็น
|
มากินข้าวเถิดนะเจ้าข้าวจะเย็น
|
ไปมัวเล่นอยู่ทำไมใช่เวลา
|
ถ้าถึงยามกินนอนผ่อนผัดนัก
|
ก็ขี้มักเจ็บไข้ไม่แกล้งว่า
|
จะท้องขึ้นท้องพองร้องระอา
|
ต้องกินยาน้ำสมอขื่นคอเอย ฯ
|
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์
ร้องลำตะนาว |
มดแดง
ค มดเอ๋ยมดแดง
|
เล็กเล็กเรี่ยวแรงแข็งขยัน
|
ใครกล้ำกลายมาทำร้ายถึงรังมัน
|
ก็วิ่งพรูกรูกันมาทันที
|
สู้ได้หรือมิได้ใจสาหัส
|
ปากกัดก้นต่อยไม่ถอยหนี
|
ถ้ารังเราใครกล้ามาราวี
|
ต้องต่อตีทรหดเหมือนมดเอย ฯ
|
นาย
|
ตุ๊กแก
ค ตุ๊กเอ๋ยตุ๊กแก
|
ตับแก่แซ่ร้องกึกก้องบ้าน
|
เหมือนเตือนให้งูรู้อาการ
|
น่ารำคาญเสียแท้ ๆ แส่จริงจริง
|
อันความลับเหมือนกับตับที่ลับแน่
|
อย่าตีแผ่ให้กระจายทั้งชายหญิง
|
ที่ควรปิดปิดไว้อย่าไหวติง
|
ที่ควรนิ่งนิ่งไว้ในใจเอย ฯ
|
นาย
|
ค กระเอ๋ยกระต่าย
|
มุ่งหมายเสาะหาแต่อาหาร
|
เผลอนิดติดแร้วดักดาน
|
ลนลานเชือกรัดมัดต้นคอ
|
จะทำการสิ่งไรให้พินิจ
|
อย่าคิดแต่ละโมภโลภลาภหนอ
|
เห็นแต่ได้ไขว่คว้าไม่รารอ
|
จะยื่นคอเข้าแร้วยายแก้วเอย ฯ
|
พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทัศน์นิภาธร
ทรงนิพนธ์ ร้องลำตะลุ่มโปง |
โพงพาง
ค โพงเอ๋ยโพงพาง
|
ทอดขวางตามลำแม่น้ำไหล
|
มัจฉาตาบอดลอดเข้าไป
|
ติดอยู่ในข่ายขึงตรึงตรา
|
ตาบอดอยู่ประสาตัวตาบอด
|
อย่าทำสอดตาเห็นเช่นว่า
|
ควรเสงี่ยมเจียมพักตร์รักกายา
|
อวดฉลาดพลาดท่าพาจนเอย ฯ
|
เจ้าการะเกด
ค เจ้าเอ๋ยเจ้าการะเกด
|
ขี่ม้าเทศถือกฤชจิตเจ้ากล้า
|
คอยระวังไพรีจะมีมา
|
การรักษาหน้าที่ดีสุดใจ
|
อันถิ่นฐานบ้านช่องต้องรักษา
|
หมั่นตรวจตราเย็นเช้าเอาใจใส่
|
อย่าเลินเล่อเผลอพลั้งระวังภัย
|
ถ้าหากใครมัวประมาทมักพลาดเอย ฯ
|
นาย
|
โมเย
ค โมเอ๋ยโมเย
|
ไปทะเลเมาคลื่นฝืนไม่ไหว
|
ให้อ่อนจิตอาเจียนวิงเวียนไป
|
พักอาศัยจอดนอนก็ผ่อนคลาย
|
อันเมาเหล้าเมายามักพาผิด
|
และพาติดตนอยู่ไม่รู้หาย
|
จะเลื่องลือชื่อชั่วจนตัวตาย
|
อย่าเมามายป่นปี้ไม่ดีเอย ฯ
|
นาย
|
เท้งเต้ง
ค เท้งเอ๋ยเท้งเต้ง
|
คว้างเคว้งอยู่ในลำแม่น้ำไหล
|
ไม่มีเจ้าของปกครองไป
|
ต้องลอยตามน้ำไปโคลงเคลง
|
เหมือนใครลอยโลเลไม่ยุดหลัก
|
คนขี้มักกลุ่มรุมกันคุมเหง
|
ต่อความดีป้องตนคนจึงเกรง
|
อย่าเท้งเต้งมดตะนอยจะต่อยเอย ฯ
|
นาย
|
นกเขา
ค นกเอ๋ยนกเขา
|
ขันแต่เช้าหลายหนไปจนเที่ยง
|
สามเส้ากุกแกมแซมสำเนียง
|
เสนาะเสียงเพียงจะรีบงีบระงับ
|
อันมารดารักษาบุตรสุดถนอม
|
สู้ขับกล่อมไกวเปลเห่ให้หลับ
|
พระคุณท่านซาบซึมอย่าลืมลับ
|
หมั่นคำนับค่ำเช้านะเจ้าเอย ฯ
|
พระยาพินิจสารา (ทิม) แต่ง ร้องลำเทพชาตรี
|
จันทร์เจ้า
ค จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า
|
ใครขอข้าวขอแกงท้องแห้งหนอ
|
ร้องจนเสียงแห้งแหบถึงแสบคอ
|
จันทร์จะขอให้เราก็เปล่าดาย
|
ยืมจมูกท่านหายใจเห็นไม่คล่อง
|
จงหาช่องเลี้ยงตนเร่งขวนขวาย
|
แม้นเป็นคนเกียจคร้านพานกรีดกราย
|
ไปมัวหมายจันทร์เจ้าอดข้าวเอย ฯ
|
นาย
|
ช้างพลาย
ค ช้างเอ๋ยช้างพลาย
|
ร่างกายกำยำล่ำสัน
|
กินไผ่ใบดกตกมัน
|
ดุดันโดยหมายว่ากายโต
|
มนุษย์น้อยนักหนายังสามารถ
|
เอาเชือกบาศคล้องติดด้วยฤทธิ์โง่
|
อย่าถือดีดังช้างทำวางโต
|
จะยืนโซติดปลอกไม่ออกเอย ฯ
|
นาย
|
จุ๊บแจง
ค จุ๊บเอ๋ยจุ๊บแจง
|
เจ้ามีแรงควักข้าวเปียกให้ยายหรือ
|
เห็นจะเป็นแต่เขาเล่าลือ
|
จะยึดถือเอาเป็นจริงยังกริ่งใจ
|
ความเลื่องลือต่อต่อก่อให้วุ่น
|
อย่าเพ่อฉุนเชื่อนักมักเหลวไหล
|
ควรฟังหูไว้หูดูดูไป
|
พกหินไว้มีคุณกว่านุ่นเอย ฯ
|
หลวงประสิทธิ์อักษรสาร (เทศ) แต่ง ร้องลำลองเรือ พระนคร
|
ดุเหว่า
ค ดุเอ่ยดุเหว่า
|
ฝีปากเจ้าเหลือเอกวิเวกหวาน
|
ผู้ใดฟังวังเวงบรรเลงลาญ
|
น่าสงสารน้ำเสียงเจ้าเกลี้ยงกลม
|
เป็นมนุษย์สุดดีก็ที่ปาก
|
ถึงจนยากพูดจริงทุกสิ่งสม
|
ไม่หลอนหลอกปลอกปลิ้นด้วยลิ้นลม
|
คนคงชมว่าเพราะเสนาะเอย ฯ
|
นาย
|
นกกระจาบ
ค นกเอ๋ยนกกระจาบ
|
เห็นใบพงลงคาบค่อยเพียรขน
|
มาสอดสอยด้วยจงอยปากของตน
|
ราวกับคนช่างพินิจคิดทำรัง
|
ช่างละเอียดเสียดสลับออกซับซ้อน
|
อยู่พักร้อนนอนร่มได้สมหวัง
|
แม้นทำการหมั่นพินิจคิดระวัง
|
ให้ได้ดังนกกระจาบไม่หยาบเอย ฯ
|
นาย
|
หนูหริ่ง
ค หนูเอ๋ยหนูหริ่ง
|
ไววิ่งซ่อนซุกกุกกัก
|
ค้อนทับกับแจ้แย่ตารัก
|
เพราะชั่วนักไม่น่าจะปราณี
|
จะกินได้หรือมิได้ก็ไม่ว่า
|
ชั้นผ่อนผ้ากัดค้นจนป่นปี้
|
ทำสิ่งใดใช่ประโยชน์แม้นโทษมี
|
เป็นไม่ดีอย่าทำจงจำเอย ฯ
|
นาย
|
โอละเห่
ค โอเอ๋ยโอละเห่
|
คิดถ่ายเทตื่นนอนแต่ก่อนไก่
|
ทำขนมแชงม้าหากำไร
|
เกิดขัดใจกันในครัวทั้งผัวเมีย
|
ผัวตีเมียเมียด่าท้าขรม
|
ลืมขนมทิ้งไว้ไม่คนเขี่ย
|
ก้นหม้อเกรียมไหม้ไฟลวกเลีย
|
ขนมเสียเพราะวิวาทขาดทุนเอย ฯ
|
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์
ร้องลำจีนต่อยหม้อ |
ลิงลม
ค ลิงเอยลิงลม
|
ไฉนอมข้าวพองตรองไม่เห็น
|
ลิงก็มีฟันเขี้ยวเคี้ยวก็เป็น
|
มาอมนิ่งเล่นเล่นไม่เห็นควร
|
แม้ทำการสิ่งใดไม่ตลอด
|
มาท้อทอดกลางคันคิดหันหวน
|
ทำโอ้โอ้เอ้เอ้ลงเรรวน
|
คนจะสรวลบัดสีไม่ดีเอย ฯ
|
นาย
|
อิ่มก่อน
ค อิ่มเอ๋ยอิ่มก่อน
|
รีบจะไปดูละครโขนหนัง
|
ทิ้งสำรับคับค้อนไว้รุงรัง
|
เหมาคนอิ่มทีหลังให้ล้างชาม
|
การเฝ้าเอาเปรียบกันอย่างนี้
|
มิดีหนอเจ้าฟังเราห้าม
|
คบเพื่อนฝูงจงอุตส่าห์พยายาม
|
รักษาความสามัคคีจะดีเอย ฯ
|
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์
ร้องลำสระบุหร่งนอก |
ซุ่มมรดี
ค ซุ่มเอ๋ยซุมมรดี
|
จะเสียทีก็เพราะเพลินจนเลินเล่อ
|
ระวังตนอย่าเป็นคนเผลอเรอ
|
ระวังพูดอย่าให้เพ้อถึงความใน
|
แม้นใครไม่ระวังตั้งเป็นหลัก
|
เดินก็มักพลาดพื้นลื่นไถล
|
พูดก็มักพร่ำเผลอเพ้อเจ้อไป
|
ระวังไว้เป็นทุนแม่คุณเอย ฯ
|
นาย
|
ที่มา:http://www1.mod.go.th/heritage/nation/misc/learning0.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)